หลักการทำงานของ RFID

RFID (Radio Frequency Identification) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้คลื่นวิทยุในการสื่อสารข้อมูลระหว่าง Tag และ Reader โดยไม่ต้องอาศัยการมองเห็นโดยตรง (Line of Sight) เทคโนโลยีนี้ช่วยเพิ่มความแม่นยำ รวดเร็ว และลดความซับซ้อนในกระบวนการต่างๆ เช่น การจัดการคลังสินค้า การผลิต และการขนส่ง


1. องค์ประกอบหลัก

  • RFID Tag อุปกรณ์เก็บข้อมูล เช่น รหัสสินค้า (ID) มีทั้งแบบ Passive (ไม่มีแบตเตอรี่) และ Active (มีแบตเตอรี่)
  • RFID Reader ตัวส่งและรับคลื่นวิทยุเพื่ออ่านข้อมูลจาก Tag
  • ระบบประมวลผล (Backend System) ใช้จัดเก็บและประมวลผลข้อมูล เช่น การติดตามตำแหน่งสินค้า

2. ขั้นตอนการทำงาน

  • การส่งพลังงาน
    Reader สร้างสนามแม่เหล็กไฟฟ้าส่งไปกระตุ้น Tag โดย
    • HF RFID (13.56 MHz) ใช้ Inductive Coupling ส่งพลังงานและข้อมูลในระยะใกล้ (ไม่เกิน 1 เมตร)
    • UHF RFID (300 MHz – 3 GHz) ใช้ Electromagnetic Coupling ส่งพลังงานและข้อมูลในระยะไกล (สูงสุด 10 เมตร)
  • การสื่อสารข้อมูล
    Tag ส่งข้อมูลกลับไปยัง Reader ผ่านเทคนิคการปรับแต่งสัญญาณ (Modulation) เช่น Amplitude Shift Keying (ASK)
  • การประมวลผลข้อมูล
    Reader ส่งข้อมูลที่อ่านได้ไปยังระบบจัดการ เช่น การตรวจสอบสถานะสินค้า หรือการบันทึกข้อมูลการขนส่ง

1. HF RFID (High Frequency: 13.56 MHz)

  • คลื่น Homogeneous Field (สนามแม่เหล็กสม่ำเสมอ)
    • คลื่นในระบบ HF มีลักษณะเป็นสนามแม่เหล็กที่ค่อนข้างสม่ำเสมอรอบเสาอากาศ
    • ใช้ Inductive Coupling หรือการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็ก
    • อ่านข้อมูลในระยะใกล้ได้แม่นยำ แม้ในพื้นที่มีโลหะหรือของเหลว

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
HF ใช้ความถี่ต่ำกว่า UHF ทำให้คลื่นมีความยาวมากกว่า ส่งผลให้พลังงานกระจายอย่างสม่ำเสมอในบริเวณใกล้เคียง

2. UHF RFID (Ultra High Frequency: 300 MHz – 3 GHz)

  • คลื่น Inhomogeneous Field (สนามแม่เหล็กไม่สม่ำเสมอ)
    • คลื่นในระบบ UHF มีความไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากใช้ Electromagnetic Coupling
    • สนามแม่เหล็กมีลักษณะกระจายเป็นจุด (Lobes) ซึ่งอาจทำให้เกิด “Dead Zone” ในบางพื้นที่
    • มีความสามารถในการอ่านระยะไกลและความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูลสูงกว่า HF

ทำไมถึงเป็นแบบนี้?
UHF ใช้ความถี่สูง ส่งผลให้คลื่นมีความยาวสั้นกว่า HF ทำให้พลังงานกระจายตัวในรูปแบบที่ไม่สม่ำเสมอ

Node/Antinode มีผลกระทบอย่างไรต่อการทำงานของ UHF RFID?

  1. Dead Zones (พื้นที่ที่อ่านไม่ได้)
    Node ในสนามแม่เหล็กไฟฟ้าของ UHF RFID อาจทำให้เกิดพื้นที่ที่ Tag ไม่สามารถรับพลังงานจาก Reader ได้ ส่งผลให้ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้ในบางจุด
    • ตัวอย่าง หากมี Node เกิดใกล้ตำแหน่งที่ติดตั้ง Tag บนสินค้า Reader จะไม่สามารถกระตุ้นให้ Tag ทำงานได้
  2. การสะท้อนคลื่น (Reflection)
    เมื่อคลื่น UHF ชนกับวัสดุ เช่น โลหะหรือของเหลว คลื่นสะท้อนจะเกิดการซ้อนทับ (Interference) กับคลื่นเดิม ทำให้เกิด Node และ Antinode ที่กระจายแบบไม่สม่ำเสมอ
    • ผลลัพธ์ คลื่นที่สะท้อนอาจเพิ่มความแรงในบางจุด (Antinode) หรือทำให้สัญญาณลดลงในบางจุด (Node)
  3. คุณภาพการอ่าน (Read Performance)
    สนามคลื่นที่มี Node และ Antinode ทำให้การอ่าน UHF Tag ในบางมุมหรือบางระยะไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ต้องปรับการติดตั้งเสาอากาศของ Reader ให้เหมาะสม

HF RFID

  • จุดเด่น
    • ทำงานได้ดีในพื้นที่ที่มีโลหะหรือของเหลว
    • คลื่นสม่ำเสมอ ลดปัญหาการรบกวน
  • ข้อควรระวัง
    • ระยะการอ่านจำกัด (ไม่เกิน 1 เมตร)

UHF RFID

  • จุดเด่น
    • อ่านข้อมูลในระยะไกลได้ดี (สูงสุดถึง 10 เมตร)
    • เหมาะกับการอ่านหลาย Tag พร้อมกัน
  • ข้อควรระวัง
    • อ่อนไหวต่อโลหะและของเหลว
    • สนามคลื่นที่ไม่สม่ำเสมออาจส่งผลต่อการอ่านข้อมูลในบางมุม

  1. การจัดการคลังสินค้า
    ติด RFID Tag บนสินค้าเพื่อบันทึกการเข้า-ออกในระบบแบบเรียลไทม์
    ตัวอย่าง: UHF RFID ช่วยระบุข้อมูลสินค้าหลายชิ้นพร้อมกันเมื่อผ่านประตูคลัง
  2. การผลิต (Manufacturing)
    ใช้ HF RFID เพื่อตรวจสอบสถานะการผลิตในสายการผลิต เช่น การติดตามชิ้นส่วนรถยนต์
  3. โลจิสติกส์และการขนส่ง
    ติด UHF RFID บนพาเลทหรือรถบรรทุกเพื่อตรวจสอบสถานะของสินค้าแบบอัตโนมัติ
  4. อุตสาหกรรมอาหารและยา
    ใช้ HF RFID ในการตรวจสอบคุณภาพสินค้าและควบคุมอุณหภูมิในระหว่างการขนส่ง

ความแตกต่างระหว่างคลื่น HF และ UHF ทำให้ RFID สามารถตอบโจทย์ที่หลากหลายได้ในทุกอุตสาหกรรม ทั้งนี้การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับระยะที่ต้องการอ่าน สภาพแวดล้อม และลักษณะของสินค้า หากสนใจโซลูชัน RFID ที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจของคุณ ติดต่อ Turck Banner Thailand เพื่อรับคำปรึกษาและโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อความสำเร็จของคุณ!

Scroll to Top